เซียนแปะโรงสี คือ อาจารย์โง้ว กิมโคย เป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่มีตัวตนอยู่จริง สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่มีชื่อไทยว่า นที ทองศิริ เป็นที่รู้จักกันในฐานะเจ้าของโรงสีย่านปทุมธานี ที่ขยันทำมาหากินจนสามารถสร้างตัวได้ อีกทั้งยังมีความรู้ด้านพิธีกรรมและศาสตร์ฮวงจุ้ยแบบจีน ทำให้ผู้คนต่างพากันเรียกชื่อท่านว่า "เซียนแปะโรงสี"
ผู้ที่นับถือเซียนแปะโรงสี จะบูชา "ยันต์ฟ้าประทานพร" ซึ่งถือเป็นยันต์ประจำตัวของเซียนแปะโรงสี ที่บรรดาลูกศิษย์และผู้เลื่อมใสนิยมพกติดตัว เก็บไว้ที่บ้านหรือร้านค้าเพื่อเสริมสิริมงคลในด้านการค้าขาย เนื่องจากเชื่อว่าการไหว้บูชาเซียนแปะโรงสี จะช่วยเสริมมงคลในเรื่องการเงิน โชคลาภ ทำมาหากินได้ ไม่มีอดตาย บ้างก็ไหว้บูชาเพื่อเสริมมงคลเรื่องการงานและความเจริญก้าวหน้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ทำธุรกิจหรือค้าขาย ก็จะนิยมบูชารูปเซียนแปะโรงสี เพื่อเชื่อว่าจะช่วยดึงดูดลูกค้า จากที่เคยขายของไม่ดี ก็จะเริ่มมีลูกค้าหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ทั้งนี้ ผู้ที่บูชาเซียนแปะโรงสีก็ต้องเป็นผู้ที่ทำมาหากินโดยสุจริต และไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ประวัติของท่าน เป็นคนจีนที่อพยพเข้ามายังประเทศไทยในปัจจุบัน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยท่านเริ่มจากการรับจ้างเป็นแรงงานทั่วไป จนกระทั่งได้เข้ามาทำงานในโรงสีในพื้นที่ปทุมธานี ท่านเป็นคนสู้ชีวิต อดออม ขยันทำมาหากิน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และเป็นผู้มีอุปนิสัยใจกว้าง มีน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ลำบากกว่าตนอยู่เสมอ
จนกระทั่งต่อมา เซียนแปะโรงสีได้ผันตัวเป็นพ่อค้าขายข้าวสาร ได้รับความไว้วางใจจากเถ้าแก่โรงสีต่างๆ และได้สร้างโรงสีร่วมกับโรงสีบางโพธิ์ใต้ จนกลายเป็นเจ้าของกิจการเอง โดยใช้ชื่อไทยว่า "นที ทองศิริ" แม้ท่านจะไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อน แต่ด้วยความที่เป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านในละแวกนั้น
วันหนึ่ง เซียนแปะโรงสีเห็นศาลเจ้าไม้เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ เริ่มทรุดโทรม จึงมาซ่อมแซมศาลเจ้าแห่งนั้นด้วยตัวเอง ทุกๆ วัน ท่านจะพายเรือมาซ่อมศาลเจ้าจนกลายเป็นภาพชินตาของชาวบ้าน ทำให้เริ่มมีประชาชนมาร่วมบูรณะศาลเจ้าด้วย จากศาลเจ้าเล็กๆ จึงเริ่มกลายเป็นศาลเจ้าขนาดใหญ่ เมื่อสร้างเสร็จท่านจึงหาฤกษ์สำหรับเฉลิมฉลองศาลเจ้าประจำปี
ในวันทำพิธี ท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นเค้าลางว่าพายุจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน เซียนแปะโรงสีจึงจุดธูปทำพิธีไล่ใน ปรากฏว่าท้องฟ้ากลับโปร่งใสเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์จึงเริ่มพูดกันปากต่อปากถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเซียนแปะโรงสีผู้นี้ ประกอบกับท่านเป็นคนดีและอยู่ในศีลธรรม ทำให้เริ่มมีผู้ศรัทธาในตัวท่านเพิ่มมากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น มักมีผู้เลื่อมใสเดินทางมาขอคำแนะนำเรื่องฮวงจุ้ยและพิธีกรรมต่างๆ เนื่องจากท่านมีความชำนาญเรื่องการปรับฮวงจุ้ยและจะให้คำแนะนำโดยไม่คิดค่าตอบแทน นอกจากนี้ ยังใช้พู่กันจีนเขียนยันต์เป็นภาษาจีนว่า "天官赐福" ซึ่งอ่านว่า "เทียน กัว สื่อ ฮก" ในภาษาจีนแต้จิ๋ว เพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้านเป็นขวัญกำลังใจอีกด้วย หลายคนบอกว่านำยันต์ที่เซียนแปะโรงสีให้กลับไปบูชาก็ค้าขายดี ทำมาหากินได้คล่องมากขึ้น ซึ่งยันต์นั้นถูกเรียกว่า "ยันต์ฟ้าประทานพร" ตามความหมายของตัวอักษรจีน
มีเรื่องเล่าว่า แม้ต่อมาท่านจะอายุมาก ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และให้คำแนะนำแก่ผู้มาขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ โดยมีเคยแสดงความเหน็ดเหนื่อยเลย เซียนแปะโรงสี เสียชีวิตอย่างสงบ ในวันที่ 16 มกราคมปี พ.ศ. 2527 มีอายุรวม 86 ปี
ต่อมา บรรดาลูกศิษย์และครอบครัวได้ร่วมกันสร้างอาคารอเนกประสงค์เพื่อระลึกถึงความดีของท่าน โดยตั้งชื่อว่า "ศาลานที ทองศิริ" สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2529 ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดศาลเจ้า (วัดมะขาม) อ.เมือง จ.ปทุมธานี และมีการแจกจ่ายยันต์ฟ้าประทานพรแก่ผู้ศรัทธา โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของเซียนแปะโรงสีนั่นเอง
ประวัติวัดศาลเจ้า
วัดศาลเจ้าหรือวัดมะขามแห่งนี้ถือเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ติดแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองเชียงราก วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2330 และได้รับพระราชทานวิสุงคาสีมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2333 ในพระอุโบสถจะมีพระพุทธรัตนมหาพรหม เป็นพระประธานอายุกว่า 200 ปี และพระพุทธรัตนไสยาสในพระวิหาร
วัดแห่งนี้มีเรื่องเล่าขานกันมาว่าวัดนี้ถูกสร้างโดยเจ้าน้อยมหาพรหม เจ้าเมืองฝ่ายเหนือ ล่องแพตามแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วมาพบพระอาจารย์รุ แล้วได้ทดสอบวิชาอาคมกัน ทำให้ท่านเลื่อมใสพระอาจารย์รุ จึงสร้างเป็นเหมือนศาล ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา แล้วใช้ชื่อวัดศาลเจ้า โดยชื่อมาจาก “ศาล” ที่ “เจ้า” สร้าง ซึ่งในปัจจุบัน ศาลในสมัยนั้นได้บูรณะใหม่เป็นพระอุโบสถปูนทั้งหลัง ด้านหน้าจะมีเจดีย์ทรงรามัญสีทอง ด้านในพระอุโบสถ นอกจากพระประธานองค์ใหญ่แล้ว ยังมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ด้านบน
ส่วนต่อมาที่สำคัญของวัดแห่งนี้ และเวลามาวัดนี้ญาติผู้ใหญ่จะต้องบอกว่ามาไหว้ศาลนี้ก่อนแล้วค่อยไปไหว้ “เหล่าโจวเจ๊ก” นั่นคือคือศาลเจ้าพ่อปุงเถ่ากงองค์ใหญ่ หันหน้าออกแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าท่านได้ประดิษฐานอยู่บริเวณแห่งนี้ก่อนวัดศาลเจ้าและก่อนที่จะตั้งชุมชน
ในสมัยอยุธยาแผ่นไม้แกะสลักคว่ำหน้าลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาติดตลิ่งบริเวณวัดศาลเจ้า ชาวบ้านมาพบแล้วพยายามจะเอาออกจากตลิ่งแต่ไม่สามารถเอาออกได้ เมื่อหงายขึ้นเป็นรูปแกะสลักองค์เจ้าพ่อปุงเถ่ากงม่า จึงนำขึ้นมาให้คนมาสักการะบูชา จนผู้สร้างวัดศาลเจ้าได้ผ่านมาเห็นจึงรื้อไม้จากเรือของตนมาสร้างเป็นศาลเจ้าพ่อปุงเถ่ากง ในช่วงประมาณ ปี พ.ศ.2518 - 2519 ชาวบ้านได้มองว่าศาลเจ้าเกิดความทรุดโทรมอย่างมาก จึงทำการสร้างศาลใหม่ให้มีความแข็งแรง และใช้การหาเงินโดยการสร้างวัตถุมงคลเซียนแปะโรงสีที่โด่งดังโดยในเหรียญรุ่นแรกจะลงปี พ.ศ.2519 และถือกำเนิดยันต์ฟ้าประทานพร